พันธุ์โคนม | ||
.....โคนมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
|
|
|
การเลี้ยงโครุ่น-โคสาว
เมื่อลูกโคอายุได้ 4 เดือน ระบบ การย่อยได้พัฒนาดีขึ้น ในช่วงนี้อัตราการตายจะต่ำหรืออาจจะกล่าวได้ ว่า พ้นช่วงระยะอันตรายแล้ว จากระยะนี้ถึงระยะโครุ่น คืออายุ ประมาณ 180 - 205 วัน (น้ำหนักประมาณ 120 - 150 กิโลกรัม) ซึ่งระยะนี้ โคจะสามารถกินหญ้าได้ดีแล้ว จากนั้นก็จะถึงระยะการเป็นโคสาว (น้ำหนัก ประมาณ 200 - 250 กิโลกรัม) ต่อไปก็จะถึงระยะเกณฑ์ผสมพันธุ์ คืออายุ ได้ประมาณ 18-22 เดือน (น้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม หรือ ประมาณ 60 - 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่) ในช่วงดังกล่าว นี้โคจะเจริญอย่างรวดเร็ว ควรเพิ่มอาหารผสมให้บ้างเป็นวัน ละ 1 - 2 กิโลกรัมและให้หญ้ากินเต็มที่ในกรณีที่เลี้ยงแบบปล่อยลงในแปลงหญ้า ก็จะเป็นการดียิ่งขึ้นเพราะโคได้ออกกำลังกายและยังเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้ จ่ายและแรงงานได้มากอีกด้วยแต่อย่างไรก็ตามในการให้อาหารผสม(อาหารข้น)แก่โค รุ่น-โคสาวในปริมาณมากน้อยเท่าใดนั้นให้พิจารณาถึงคุณภาพของหญ้าที่มีอยู่ใน ขณะนั้นเป็นสำคัญ
การเลี้ยงและดูแลโครีดนม
แม่โค จะให้นมหรือมีน้ำนมให้ รีดก็ต่อเมื่อหลังจากคลอดลูกในแต่ละครั้ง ซึ่งจะให้นมเป็นระยะ ยาว, สั้น มากน้อยต่างกัน ขึ้นกับความสามารถของแม่โคแต่ละตัวพันธุ์และปัจจัยอื่นอีกแต่โดยทั่วไปจะรีด นมได้ประมาณ 5 - 10 เดือน นมน้ำเหลืองควรจะรีดให้ลูกโคกินจนหมด ไม่ ควรนำส่งเข้าโรงงานเป็นอันขาดและควรให้อาหารแก่แม่โคอย่างเพียงพอ เพื่อ แม่โคจะได้ไปสร้างน้ำนมและเสริมสร้างร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ได้ อย่างเพียงพอภายหลังจากคลอดลูก โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 30 - 70 วัน หลัง จากคลอด มดลูกจะเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติแม่โคจะเริ่มเป็นสัดอีก แต่ อย่างไรก็ตามเมื่อแม่โคแสดงอาการเป็นสัดภายหลังคลอดน้อยกว่า 25 วัน ยัง ไม่ควรให้ผสม เพราะมดลูกและอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์เพิ่งฟื้นตัว ใหม่ ๆ ยังไม่เข้าสู่สภาพปกติ ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ควรจะรอให้เป็นสัด ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นจึงค่อยผสม ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา ประมาณ 45 - 72 วัน หลังจากคลอด
การเป็นสัดคืออะไร การเป็นสัด คือ การ ที่สัตว์ตัวเมียยอมให้ผสมพร้อม ๆ กันจะมีการตกไข่เกิดขึ้น (โคนมลูกผสมส่วน มากจะมีอายุเข้าสู่วัยหนุ่มสาวประมาณ 1 - 2 ปีโดยเฉลี่ย ) โคเป็นสัดก็หมายถึง โคที่เริ่มจะเป็นสาวแล้วพร้อมที่จะได้รับการผสม โดยวิธีใดวิธีหนึ่งซึ่งอาจเป็นการผสมเทียมหรือผสมแบบธรรมชาติก็ได้แล้วแต่ ความสะดวกหรือความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ การเป็นสัดของโคแต่ละ รอบจะห่างกันประมาณ 21 วัน และในแต่ละครั้งของการเป็นสัดแล้ว ประมาณ 14 ชั่วโมง ช่วงระยะเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการผสม คือ ระยะก่อนที่ไข่จะตกเล็กน้อย โดยทั่วไปเจ้าของสัตว์อาจจะพบหรือสังเกต เห็นสัตว์ของตนเป็นสัดในเวลาเย็นหรือตอนกลางคืน หรืออาจจะพบเมื่อใกล้ถึง ตอนปลายของการเป็นสัดแล้ว ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลในทางปฏิบัติอาจแนะนำพอ เป็นแนวทางในการปฏิบัติคือ ถ้าเห็นโคเป็นสัดตอนเช้าก็ควรผสมอย่างช้าตอน บ่ายวันเดียวกัน และถ้าเห็นโคเป็นสัดตอนบ่ายหรือเย็นก็ควรผสมอย่างช้าเช้า วันรุ่งขึ้น
|
การผสมเทียม หมาย ถึง การรีดน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์แล้วนำไปฉีดเข้าในอวัยวะของสัตว์ตัว เมีย เมื่อสัตว์ตัวเมียนั้นแสดงอาการของการเป็นสัดแล้วทำให้เกิดการตั้ง ท้องแล้วคลอดออกมาตามปกติ ประโยชน์ของการผสมเทียม 1. ทำให้ประหยัดพ่อพันธุ์เมื่อรีด เก็บน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์ได้แต่ละครั้งสามารถนำมาละลายน้ำเชื้อแล้ว แบ่งใช้ผสมกับสัตว์ตัวเมียได้จำ นวนมาก 2. สามารถผสมพันธุ์สัตว์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กต่างกันได้ โดยไม่มีอันตรายจากการขึ้นทับของพ่อพันธุ์ 3. ไม่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงพ่อพันธุ์ 4. ตัดปัญหาในเรื่องขนส่งโคไปผสมเพราะสามารถนำน้ำเชื้อไปผสมได้ไกล ๆ |
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียม
โคตัวเมีย ที่ แสดงอาการเป็นสัดดังกล่าว ควรจะได้รับการผสมเทียมในระยะเวลาช่วงกลางของ การเป็นสัด หรือใกล้ระยะที่จะหมดการเป็นสัด (อาจจะหมดการเป็นสัดไปแล้ว ประมาณ 6 ชั่วโมงก็ได้ หรือเมื่อโคเพศเมียตัวนั้นยืนนิ่งให้ตัวอื่นขึ้น ขี่ ซึ่งใช้เป็นหลักในการผสมพันธุ์) โดยทั่ว ๆ ไปโคเพศเมียจะมีระยะเป็น สัดประมาณ 18 ช.ม. แล้วต่อมาอีก 14 ช.ม. จึงจะมีไข่ตกเพื่อรอรับการผสม พันธุ์กับน้ำเชื้อพ่อโค จึงเห็นสมควรที่ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม ในการ ดำเนินการเรื่องของรับบริการผสมเทียมดังมีหลักการที่จะใช้ในการปฏิบัติงาน ผสมเทียมคือ
1. เมื่อโคเพศเมียตัวใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนรุ่งเช้าของวันใด วันหนึ่ง ควรที่จะได้รับการผสมเทียมในวันเวลาเดียวกัน (ก่อน 16.30 น.) ฉะนั้นพอรุ่งเช้าของแต่ละวันเจ้าของสัตว์ควรที่จะได้ไปแจ้งและบอก เวลา (ประมาณ) ที่ท่านได้เห็นสัตว์ของท่านแสดงอาการเป็นสัด
2. ถ้าโคเพศเมียตัวใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายของวันใดวัน หนึ่ง ควรที่จะได้รับการผสมเทียมตอนเช้าหรือก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ฉะนั้นเจ้าของสัตว์เมื่อพบว่าสัตว์แสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายหรือตอน เย็น ท่านควรจะไปแจ้งและบอกเวลาของการเป็นสัด (ประมาณ) ในรุ่งเช้าของวันต่อไปก็ได้
ถ้าท่านได้ศึกษาและ รู้จักสังเกตการแสดงอาการเป็นสัด ว่าอาการเป็นอย่างไรและหาระยะเวลาที่จะ ผสมเทียมให้พอเหมาะแล้ว จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องการผสมเทียมติดยาก หรือผสมไม่ค่อยติดในโคเพศเมียของท่านได้ทางหนึ่ง และจะทำให้เป็นประโยชน์ ในด้านการเพิ่มจำนวนและปริมาณน้ำนมในกิจการโคนมของท่านยิ่งขึ้น จึงเห็น สมควรที่จะเรียกช่วงเวลาอันสำคัญนี้ว่า "นาทีทองในโคนมตัวเมีย" จะรู้ได้อย่างไรว่าโคตั้งท้องหรือไม่
เมื่อโคนาง ได้รับการผสมไปแล้วประมาณ 21 วันหากโคไม่กลับมาแสดงอาการเป็นสัดอีกก็อาจคาดได้ว่าผสมติดหรือโคตัวนั้น เริ่มตั้งท้องแล้ว เพื่อให้รู้แน่ชัดยิ่งขึ้นภายหลังจากการผสมโคนางแล้ว 50 วันขึ้นไปอาจติดต่อสัตวแพทย์หรือบุคคลผู้มีความ ชำนาญในการตรวจท้องแม่โค (โดยวิธีล้วงเข้าไปคลำลูกโคทางทวารของแม่โค) มาทำการตรวจท้องแม่โคก็จะทราบได้แน่ชัดยิ่งขึ้น
........ข้อสังเกต ในกรณีโคสาว จะสังเกตได้จากการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น กินจุขึ้น ความจุของลำตัวโดยเฉพาะส่วนท้องซี่โครงจะกางออกกว้าง ขึ้น ขนเป็นมัน และไม่เป็นสัดอีก
การคลอดลูก
โดยทั่วไปแม่โคจะตั้งท้องประมาณ 283 วัน หรือ ประมาณ 9 เดือนเศษ ในช่วงนี้แม่โคจะได้การเอาใจใส่ดูแลเรื่องความเป็น อยู่และอาหารเป็นพิเศษ เพราะลูกในท้องเจริญขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในระยะก่อนคลอด ประมาณ 45 - 80 วัน ควรเพิ่มอาหารผสมให้แก่แม่โคท้อง เพื่อแม่โคจะได้นำ ไปเสริมสร้างร่างกายส่วนที่สึกหรอ และนำไปเลี้ยงลูก หรือนำไปสร้างความ เจริญเติบโตสำหรับอวัยวะบางอย่างที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เพื่อให้ เกิดความสมบูรณ์มากที่สุดและเพื่อไม่ให้แม่โคซูบผอม สำหรับแม่โคที่กำลัง ให้นม เมื่อตั้งท้องลูกตัวต่อไปควรจะหยุดรีดนมก่อนคลอด ประมาณ 45 - 60 วัน สำหรับแม่โคท้องแรกหรือท้องสาวหรือแม่โคที่ยังเจริญ เติบโตไม่เต็มที่ (อายุไม่ถึง 5 ปี) แม้จะให้ลูกมาแล้ว 1 หรือ 2 ตัวก็ ตาม ก่อนคลอดลูกตัวต่อไปควรจะหยุดพักการรีดนมเร็วกว่าแม่โคที่โตเต็มที่ แล้ว อย่างน้อยก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน เพื่อให้แม่โคได้มีเวลา เตรียมตัวได้พักผ่อนร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ บ้าง มิฉะนั้นแม่โคอาจจะได้ รับผลกระทบกระเทือน นั่นหมายถึงผลเสียหายที่จะตามมาภายหลัง ได้ เช่น ร่างกายจะชะงักการเติบโตเพราะอาหารไม่พอ ร่างกายไม่ สมบูรณ์ เมื่อคลอดลูกออกมาลูกโคอ่อนแอ มีช่วงระยะการให้นมในปีต่อไปสั้น ลง ผสมติดยาก ทิ้งช่วงการเป็นสัดนาน และอื่น ๆ เป็นต้น
อาการที่แม่โคแสดงออกเมื่อใกล้คลอด เราอาจจะสังเกตอาการต่างๆได้ดังนี้ 1. เต้านมขยายใหญ่ขึ้น 2. อวัยวะเพศขยายตัวขึ้น ยิ่งใกล้วันคลอดเข้ามาสังเกตเห็นมีน้ำเมือกไหลออกมาจากช่องคลอด 3. กระดูกเชิงกรานขยายตัวออกกว้างขึ้น โคนหางตรงกระดูกก้นกบจะบุ๋มลึกลงทั้งสองข้าง 4. ช่องท้องตรงสวาปจะลึกหย่อนลง 5. ยกหางขึ้น-ลงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว 6. ถ้าเป็นโคที่ปล่อยรวมฝูงจะพยายามแยกตัวออกจากฝูง 7. แม่โคที่ถูกขังจะไม่สนใจในการกินหญ้า อาหาร ยืนกระสับ กระส่าย ขกขาหลังแตะอยู่เรื่อย ๆ มีการเบ่งคลอดตลอดเวลา | ท่าคลอดปกติของลูกโค |
จะรู้ได้อย่างไรลูกโคคลอดปกติหรือไม่
ลักษณะการคลอดลูกในท่าปกติของแม่โค คือ ลูกโคจะเหยียดขาหน้าตรง ออกมาพร้อมกันทั้งสอง (ส่วนหัวแนบชิดกับเข่า) จะเห็น เป็น 3 จุด คือ 2 กีบข้างหน้า และจมูก ถ้าหากมีลักษณะอื่น ๆ ผิดไปจาก นี้ให้ถือเป็นการคลอดที่ผิดปกติ อาทิเช่น หัวพับหรือเอาด้าน หลังออกมาก่อนส่วนอื่น หรือกรณีที่ลูกโคมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถผ่านช่อง คลอดออกมาได้ หรือกรณีอื่น ๆ เช่นนี้ควรรีบติดต่อสัตวแพทย์มาช่วยทำการ คลอด และหากลูกโคคลอดออกมาแล้วรกยังไม่ออกตามมาถ้า เกิน 12 ชั่วโมง ควรรีบตามสัตวแพทย์มาช่วยแก้ไข เพราะถือว่ามีความผิด ปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่โค ซึ่งต้องรีบทำการรักษา หลังจากลูกโคคลอด ออกมาแล้วควรรีบเช็ดทำความสะอาดตัวลูกโคให้แห้งโดยเร็ว โดยเฉพาะ เมือกบริเวณจมูกปากและลำตัวพร้อมกับทำการตัดสายสะดือให้ห่างจากตัวโค ประมาณ 1 นิ้วแล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน
การรีดนม
หมาย ถึง การกระทำอย่างใดอยางหนึ่งเพื่อที่จะเอานมออกจากเต้านมของแม่โค น้ำ นมส่วนมากจะถูกขับออกมาโดยการกระตุ้นทางระบบประสาทและฮอร์โมนพร้อม ๆ กับการ รีด นั่นคือ การทำให้ภายในหัวนมเกิดมีแรงอัดดันจนทำให้รูหูนมเปิด ออก น้ำนมซึ่งอยู่ภายในจึงไหลออกได้การรีดนมมีอยู่ 2 วิธีคือ 1. การรีดนมด้วยมือ 2. การรีดนมด้วยเครื่อง หลักที่ควรคำนึงถึงและถือปฏิบัติในการรีดนม 1. ควรรีดให้สะอาด 2. ควรรีดให้เสร็จโดยเร็ว 3. ควรรีดให้น้ำนมหมดเต้า | อุปกรณ์การรีดนมด้วยมือ |
1. การเตรียมน้ำยาฆ่าเชื้อโดยใช้น้ำยาคลอรีนอย่างเจือจาง
2. การเตรียมอุปกรณ์การรีดซึ่งรวมถึงผู้ที่ทำการรีดและแม่ โค ให้เรียบร้อยการเตรียมการต่าง ๆ ควรจัดการให้สะอาดหรือฆ่าเชื้อด้วย น้ำยาคลอรีน
3. ทำความสะอาดตัวโคและบริเวณคอกที่สกปรก
4. ล้างเต้านมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำยาคลอรีนพร้อมกับนวดเช็ดเบา ๆ
5. ก่อนลงมือรีดควรตรวจสอบความผิดปกติของน้ำนมหรือทำการรีดน้ำนมที่ค้างอยู่ในหัวนมทิ้งเสียก่อน
6. ขณะลงมือรีดนมควรรีบรีดให้เร็วที่สุดไม่หยุดพัก กะให้เสร็จภายใน 5 - 8 นาที และต้องรีดให้หมดทุกเต้า
การรีดนมด้วยมือ กระทำได้โดยการ ใช้ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้บีบหรือรีดหัวนมตอนบน เพื่อเป็นการปิดทางนมเป็น การกันไม่ให้น้ำนมในหัวนมหนีขึ้นไปอยู่ตอนบน ต่อมาก็ใช้นิ้วที่ เหลือ (กลาง, นาง, ก้อย) ทำการบีบไล่น้ำนมตั้งแต่ตอนบนเรื่อยลงมาข้างล่าง จะทำให้ภายในหัวนมมีแรงอัดและน้ำนมจะถูกดันผ่านรูนมออกมาและเมื่อขณะที่ ปล่อยช่องนิ้ว (หัวแม่มือ, นิ้วชี้) ที่รีดนัวนมตอนบนออก น้ำนมซึ่งมี อยู่ในถุงพับนมข้างบนจะไหลลงมาส่วนล่าง เป็นการเติมให้แก่หัวนมอีกเป็น เช่นนี้ตลอดระยะเวลาที่รีดจนกระทั่งน้ำนมหมด | การรีดนมด้วยมือ |
ในการหยุดรีดนมแม่โค โดย เฉพาะแม่โคที่เคยให้นมมาก ๆ ควรจะต้องระมัดระวังในการหยุดรีด เพราะอาจจะ ทำให้เกิดโรคเต้านมอักเสบได้โดยง่าย วิธีการหยุดรีดควรทำแบบค่อยเป็นค่อย ไป กล่าวคือ ในขั้นต้นอย่ารีดให้น้ำนมหมดเต้าเลยทีเดียว ในช่วงแรก ๆ ควร ค่อย ๆ ลดอาหารข้นลงบ้างตามส่วน แล้วต่อไปจึงเริ่มลดจำนวนครั้งที่รีดนมใน วันหนึ่ง ๆ ลงมาเป็นวันละครั้ง ต่อมาก็รีดเว้นวันและต่อมาก็เว้นช่วงให้ นานขึ้น จนกระทั่งหยุดรีดนม ในที่สุดซึ่งปกติโดยทั่ว ๆ ไปจะใช้เวลา ประมาณ 15 - 30 วัน และในขณะที่หยุดพักรีดนมนี้จะต้องหมั่นสังเกตเต้านม อยู่เสมอ ถ้าปรากฏว่าบวมแดงหรืออักเสบ ต้องรีบตามสัตวแพทย์มาช่วยรักษา และต้องหวนกลับมารีดนมตามเดิมไปก่อน ถ้าไม่มีโรคแทรกแล้วเต้านมของแม่โค ที่พักการให้นมใหม่ ๆ โดยทั่วไปก็จะคัดเต้าอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วจึง ค่อย ๆ ลีบเล็กลงไปในที่สุด
ปัญหาที่พบบ่อยในการรีดนม
1. ถ้ารู้ว่าโคตัวใดเป็นโรคเต้านมอักเสบ ให้ทำการรีดหลังโคตัวอื่น ๆ เพื่อป้องกันการกระจายของโรค และควรรีดเต้าที่ อักเสบทีหลังสุด และให้ระวังการเช็ดล้างเต้านม
2. ถ้าโคตัวใดเป็นแผลหรือเป็นฝีที่หัวนม ขณะที่ทำการรีดนมแม่โค อาจแสดงอาการเจ็บปวด อาจทำร้ายคนรีดได้ในกรณีเวลารีดควรแตะต้องแผลให้น้อย ที่สุดและควรรีบจัดการรักษาใส่ยาหรือใช้ขี้ผึ้งทา หลังรีดนมเสร็จแล้วควร ล้างมือให้สะอาดด้วย
3. ถ้ามีโคตัวใดนมรั่ว ซึ่งเกิดจากเต้านมคัดซึ่งเป็นเพราะกล้าม เนื้อวงแหวนที่รัดรูหัวนมไม่แข็งแรงพอหรือค่อนข้างเสื่อมสมรรถภาพ กรณีที่ ไม่มีแนวทางแก้ไขอาจใช้จุกปิดหรืออุดรูหัวนม หรือใช้วิธีรีดนมให้ถี่ขึ้นก็ ได้
4. ถ้าพบว่าแม่โคบางตัวให้น้ำนมที่มีสีผิดปกติเกิดขึ้น กล่าว คือ น้ำนมอาจเป็นสีแดงหรือมีสีเลือดปนออกมา ซึ่งอาจเป็นเพราะเส้นเลือด ฝอยในเต้านมแตกซึ่งไม่เป็นอันตรายใด ๆ จะค่อย ๆ หายไปเองในไม่ช้า น้ำนม ที่ได้ควรนำไปให้ลูกโคกินไม่ควรบริโภค
5. ถ้าพบว่าแม่โคตัวใดเตะเก่ง ขณะทำการรีดจะต้องใช้เชือกมัด ขา ซึ่งควรค่อย ๆ ทำการฝึกหัดให้เคยชิน โดยไมต้องใช้เชือกมัด เพราะ วิธีการมัดขารีดนมไม่ใช่เป็นวิธีการที่ดีจะทำให้วัวเคยตัว
อาหารและการให้อาหาร
โคนมเป็นสัตว์สี่กระเพาะ หรือ ที่เรียกว่า สัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ประเภทนี้จะ มี 2 ชนิด คือ อาหารหยาบ เช่น หญ้า ถั่วอาหารสัตว์ ฟางข้าว และ อาหารข้น เช่น อาหารผสม ในการให้อาหารแก่โคนม อาหารทั้ง 2 ชนิดจะมี ความสำคัญเท่า ๆ กันและต้องมีความสัมพันธ์กันเพื่อที่จะทำให้โคนมสามารถให้ น้ำนมได้สูงสุดตามความสามารถของโคแต่ละตัวที่จะแสดงออก
|
ความต้องการสารอาหารของแม่โคนม
แม่โคนมแต่ละตัวมีความต้องการสารอาหาร ได้แก่ โปรตีน พลังงาน วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะ (1) บำรุงร่างกาย (2) เจริญเติบโต (3) ผลิตน้ำนม (4) เพื่อการ เจริญเติบโตของลูกในท้อง แม่โคจะนำสารอาหารที่ให้กินไปใช้เพื่อวัตถุ ประสงค์ต่าง ๆ ตามลำดับ ทำให้แม่โคแต่ละตัวซึ่งมีน้ำหนักตัวต่างกัน และ ให้นมจำนวนไม่เท่ากัน มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป นอกจากนั้นใน แม่โคตัวเดียวกันก็ยังมีความต้องการสารอาหารในแต่ละช่วงแตกต่างกันไปอีกซึ่ง จะขึ้นอยู่กับ
1. ช่วงระยะการให้น้ำนม แม่โคนมที่อยู่ในระยะใกล้คลอดหรือหลัง คลอดใหม่ ๆ แม่โคนมที่อยู่ระหว่างการให้น้ำนมสูงสุด (2เดือนแรกของการให้ นม) การให้นมช่วงกลาง การให้นมในช่วงปลาย และช่วงหยุดการให้นม จะมี ความต้องการสารอาหารในแต่ละระยะการให้นมที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะปริมาณ น้ำนมที่แม่โคผลิตได้ในแต่ละช่วงจะแตกต่างกัน
2. สภาพของร่างกายโคนมที่สามารถให้น้ำนมได้เต็มที่ สุขภาพของ แม่โคจะต้องพร้อม คือไม่ควรจะอ้วนหรือผอมจนเกินไป จึงมีความจำเป็นที่จะ ต้องได้รับสารอาหารที่มากขึ้น ทั้งนี้เพราะโคจะต้องใช้สารอาหารในการบำรุง ร่างกายและเจริญเติบโตก่อน จึงจะนำไปใช้ในการสร้างน้ำนม
เมื่อเกษตรกรได้รู้ถึงความต้องการสารอาหารของโคแล้ว ซึ่งในที่ นี้จะไม่ขอกล่าวถึงความต้องการสารอาหารแต่ละชนิดเพราะอาจจะทำให้สับสน แต่ อยากจะให้เกษตรกรได้ทราบถึงเหตุผลว่า ทำไมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ อาหารต่างกันในโคแต่ละตัวหรือในโคตัวเดียวกันแต่ต่างระยะเวลา
ปริมาณการกินอาหารของแม่โค
แม่โคนมแม้จะต้องการสารอาหารมากเพียงไร แต่ปริมาณอาหารที่แม่โค กินได้นั้นมีอย่างจำกัด ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากความจุของกระเพาะโคเองหรือ อาจจะเนื่องมาจากลักษณะและคุณภาพของอาหารที่ให้แก่โค ฉะนั้นเกษตรกรผู้ เลี้ยงโคนมควรจะทราบด้วยว่า โคนมของท่านแต่ละตัวจะสามารถกินอาหารได้วันละ เท่าใด เพื่อที่จะทำให้ทราบว่า สารอาหารที่แม่โคได้รับนั้นจะเพียงพอ หรือไม่กับการให้น้ำนมของแม่โค การผลิตน้ำนมให้ได้มาก ๆ นั้นไม่ได้ขึ้น อยู่กับปริมาณอาหารที่ได้รับเพียงอย่างเดียวแต่คุณภาพของอาหารมีความสำคัญ ยิ่งกว่าคาดคะเนปริมาณการกินอาหารของโค ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับปัจจัย หลัก 2 ปัจจัยคือ น้ำหนักตัวของแม่โคและปริมาณน้ำนมที่แม่โคนั้นผลิต ได้ ซึ่งในเรื่องของน้ำหนักตัวของแม่โคเกษตรกรมักจะไม่ทราบเพราะไม่มี เครื่องชั่งสัตว์ในฟาร์ม แต่ก็พอจะประมาณได้ เพราะโคลูกผสมขาว-ดำใน เมืองไทยจะมีน้ำหนักโดยประมาณนี้เป็นตัวคำนวณปริมาณอาหารต่อไปได้ และ เมื่อพิจารณาร่วมกับปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ก็พอจะประมาณการกินอาหารของแม่โค ได้ดังนี้
ตาราง ปริมาณอาหารที่คาดว่าแม่โคจะกินได้ต่อวัน คิดเป็นร้อยละของน้ำหนักตัว | |||
ปริมาณน้ำนมที่ให้ (ก.ก./วัน) | น้ำหนักตัวแม่โค (ก.ก.) | ||
400 | 450 | 500 | |
10 | 2.5 | 2.4 | 2.3 |
14 | 2.7 | 2.6 | 2.5 |
18 | 2.9 | 2.8 | 2.7 |
18 | 2.9 | 2.8 | 2.7 |
26 | 3.4 | 3.3 | 3.2 |
30 | 3.7 | 3.6 | 5.5 |
ที่มา : ดัดแปลงจากตารางมาตรฐานความต้องการโภชนะของแม่โคนม (NRC, 1988) |
ปริมาณการกินอาหารหยาบ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โคนมเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องจึงจำเป็น ต้องได้รับอาหารหยาบอย่างเพียงพอ ซึ่งในจุดนี้เกษตรกรบางส่วนไม่ค่อยได้ คำนึงถึงมากนัก อย่าคิดแต่เพียงว่าถ้าให้อาหารข้นมาก ๆ โคจะได้รับสาร อาหารมาก และจะทำให้ผลผลิตน้ำนมได้มาก ตรงกันข้ามในความเป็นจริงแล้วโค ที่ได้รับอาหารข้นมากเกินไป กลับทำให้ผลผลิตน้ำนมลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจาก การที่โคได้รับอาหารหยาบน้อยเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการผิดปกติในระบบการ ย่อยอาหารคือ เกิดความเป็นกรดในกระเพาะผ้าขี้ริ้วมากจนโคไม่ยอมกิน อาหาร ทั้งนี้เพราะอาหารหยาบมีเยื่อใยสูง จะช่วยในการเคี้ยวเอื้องทำให้ ต่อมน้ำลายของโคหลั่งน้ำลายได้มากขึ้น และน้ำลายนี้เองมีฤทธิ์เป็นด่างจะ ช่วยปรับสภาพภายในกระเพาะผ้าขี้ริ้วให้เหมาะสมแก่การทำงานของ จุลินทรีย์ เพื่อสังเคราะห์โปรตีนและพลังงานแก่โคต่อไป
เกษตรกรจึงจำเป็นที่จะต้องมีอาหารหยาบเพียงพอให้แก่โค ซึ่งระดับของอาหาร หยาบเมื่อคิดเป็นน้ำหนักแห้งที่แม่โคควรจะได้รับต่อวันไม่ควรต่ำ กว่า 1.4 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่น แม่โคนมมีน้ำหนัก ประมาณ 400 กิโลกรัม ควรจะได้รับอาหารหยาบแห้งตามที่ได้กำหนดไว้ดังต่อ ไปนี้คือ แม่โคนมที่มีน้ำหนักตัว 100 กิโลกรัม ต้องการอาหาร หยาบ = 1.4 กิโลกรัม แม่โคที่มีน้ำหนักตัว 400 กิโลกรัม ต้องการอาหาร หยาบ = (1.4 x 400) / 100 กิโลกรัม
แม่โคควรจะได้รับอาหารหยาบแห้ง/วัน = 5.6 กิโลกรัม เมื่อนำมา คิดเทียบกลับไปเป็นหญ้าสดซึ่งทั่ว ๆ ไปมีวัตถุแห้ง ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นโคควรจะได้รับหญ้าสดในปริมาณวัน ละ = (5.6 x 100) / 100 = 22.4 กิโลกรัม
คุณภาพของอาหารหยาบ
เมื่อทราบถึงปริมาณของอาหารหยาบที่จำเป็นที่แม่โคจะต้องได้รับต่อ วัน เพื่อที่จะทำให้ระบบการย่อยอาหารเป็นไปอย่างปกติแล้ว สิ่งที่ต้อง คำนึงถึงต่อมาก็คือ อาหารหยาบที่ให้แก่แม่โคมีคุณภาพเป็นอย่างไร โคจะ ใช้ประโยชน์ได้มากน้อยแค่ใหน ทั้งนี้เพราะคุณภาพของอาหารsยาบจะเป็นตัว กำหนดคุณภาพของอาหารข้นด้วย คือ ถ้าอาหารหยาบที่ให้แก่โคมีคุณภาพต่ำ อาหารข้นที่จะใช้เสริมจำเป็นต้องมีคุณค่าทางอาหารสูง ซึ่งผลการวิเคราะห์ คุณค่าทางอาหาร ทางกลุ่มงานวิเคราะห์อาหารสัตว์ กองอาหารสัตว์ได้จัดทำ สรุปไว้แล้ว แต่ในเอกสารฉบับนี้จะขอนำเอาผลการวิเคราะห์ของอาหารหยาบที่มี ใช้ทั่ว ๆ ไปมาเสนอเท่านั้น (ดังแสดงในตารางที่2)
ตารางผลการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของอาหารหยาบที่มีใช้โดยทั่วไป | |||||
ชื่ออาหาร | %ความชื้น | %วัตถุแห้ง | %โปรตีน | %เยื่อใย | คุณภาพ |
ถั่วฮามาต้าแห้ง | 10.40 | 89.60 | 14.67 | 26.60 | /// |
ใบกระถินแห้ง | 10.40 | 89.60 | 18.59 | 9.30 | /// |
หญ้าสด(รูซี่,กินนี) | 75.90 | 24.10 | 2.55 | 6.92 | // |
เปลือกข้าวโพดฝักอ่อน | 82.00 | 18.00 | 2.26 | 3.78 | // |
ต้นข้าวโพดฝักอ่อน | 73.60 | 26.40 | 1.16 | 6.94 | / |
เปลือกสับปะรด | 81.67 | 18.33 | 0.66 | 2.09 | / |
ยอดอ้อย | 62.33 | 37.67 | 3.26 | 13.41 | / |
หญ้าธรรมชาติในฤดูฝน | 72.90 | 27.10 | 10.62 | 7.56 | // |
ฟางข้าว | 8.60 | 91.40 | 3.43 | 27.66 | / |
/// = คุณภาพดี | // = คุณภาพปานกลาง | / = คุณภาพต่ำ |
หมายเหตุ การ จำแนกคุณภาพของอาหารหยาบในที่นี้จะใช้เปอร์เซ็นต์โปรตีนหยาบเป็นหลักในการ จำแนก เพื่อให้สอดคล้องกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนในสูตรอาหารข้นที่จะกล่าวถึง ต่อไป
คุณภาพของอาหาร หยาบ นอกจากจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของอาหารข้นแล้ว ยังเป็นตัวควบคุมใน เรื่องการกินอาหารของแม่โคด้วย เพระาถ้าใช้อาหารหยาบคุณภาพต่ำอาทิ เช่น ฟางข้าว หรือหญ้าธรรมชาติในช่วงที่ออกดอกแล้ว โคจะย่อยได้ น้อย ทำให้การกินอาหารลดลงตามไปด้วย เกษตรกรควรจะหาวิธีการที่จะแก้ ปัญหานี้ ซึ่งอาจจะทำได้โดยการเพิ่มคุณภาพ และการใช้ประโยชน์ของอาหาร หยาบ เช่นการสับฟางเป็นชิ้นเล็ก ๆ การทำฟางปรุงแต่ง หรือการใช้ใบพืช ตระกูลถั่วที่มีคุณภาพสูงให้กินร่วมกับฟาง เพื่อให้อาหารหยาบนั้นมีความ น่ากินและมีการย่อยได้สูงขึ้น นอกจากนั้นในเรื่องฤดูกาลเช่น ในช่วงที่ มีอากาศร้อน ก็จะทำให้แม่โคกินอาหารหยาบได้ลดลงเช่นกัน .... ... ทั้งนี้เพราะความร้อนที่เกิดจากขบวนการหมักของอาหารหยาบในกระเพาะผ้าขี้ริ้ว ของโค ไม่สามารถจะระบายออกนอกร่างกายได้ทัน เนื่องจากอุณหภูมิภายใน ตัว โคมีอาการหอบชอบยืนแช่น้ำและกินอาหารลดลง เกษตรกรอาจจะแก้ไขปัญหา นี้โดยพยายามให้อาหารหยาบแก่โคทีละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น และพยายามให้ อาหารหยาบในช่วงเวลาที่อากาศเย็นลง เช่น กลางคืน หรือจะใช้วิธีอาบน้ำ และใช้พัดลมช่วย หรืออาจจะใช้หลายวิธีร่วมกัน อย่างไรก็ตามเกษตรกรต้อง คำนึงอยู่เสมอว่าจะต้องให้แม่โคได้กินอาหารหยาบแห้งไม่ต่ำ กว่า 1.4 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวแม่โคเสมอ |
การป้องกันโรคในโคนม
โรค เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ ทำความเสียหายให้แก่ผู้เลี้ยงโคนมไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อร้าย แรง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกับฟาร์มใดอาจทำให้ถึงกับต้องเลิกล้มกิจการได้ การ ป้องกันโรคโคนมควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ ก. เลี้ยงแต่โคที่แข็งแรงสมบูรณ์และปลอดจากโรค ไม่ ควรเลี้ยงโคที่อ่อนแอ โคที่เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายขาด โรคทางพันธุ กรรม เช่นโรคไส้เลื่อน, โรคติดต่อร้ายแรง เช่น โรคแท้งติดต่อหรือ วัณโรค เป็นต้น ข. ให้อาหารที่มีคุณภาพดีและมีจำนวนเพียงพอ ถ้า ให้อาหารไม่ถูกต้องเพียงพอ หรือให้อาหารเสื่อมคุณภาพ หรือมีสิ่งปลอมปน อาจทำให้โคเป็นโรคไข้นม, โรคขาดอาหาร รวมทั้งทำให้อ่อนแอเกิดโรค อื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเกษตรกรควรซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือ ได้ และระวังอาหารที่เป็นพิษ เช่น มีเชื้อรา พืชที่พ่นยาฆ่าแมลง เป็น ต้น |
ค. จัดการเลี้ยงดูและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงให้เหมาะสม สำหรับข้อนี้ เป็นวิธีการลงมือปฏิบัติที่ค่อนข้างสับสนเพื่อให้เข้าใจง่ายสะดวกแก่การปฏิบัติ จึงขอแยกแยะออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้
คอกคลอดควรได้รับการทำความสะอาด และใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นหรือราดทิ้งไว้ 2 - 3 อาทิตย์ ก่อนนำแม่โคเข้าคลอด
ลูกโคที่เกิดใหม่ ต้องล้วงเอาเยื่อเมือกที่อยู่ในจมูก, ปากออกให้หมด เช็ดตัวลูกโคให้แห้ง
สายสะดือลูกโคที่เกิดใหม่ต้องใส่ทิงเจอร์ไอโอดีนให้โชก และใส่ยากันแมลงวันวางไข่ทุกวันจนกว่าสายสะดือจะแห้ง
ให้ลูกกินนมน้ำเหลืองโดยเร็ว ถ้าเป็นไปได้ควรให้กินภายใน 15 นาทีหลังคลอด
ทำความสะอาดคอกลูกโค และคอกคลอดก่อนนำลูกโคเข้าไปเลี้ยง
ควรเลี้ยงลูกโคในคอกเดี่ยวเฉพาะตัว
เครื่องมือเครื่องใช ้เช่น ถังนมที่ใช้เลี้ยงลูกโคไม่ควรปะปนกัน
ให้ลูกโคกินนมไม่เกิน 10 % ของน้ำหนักตัว แบ่งออกเป็น 2 ครั้งต่อวัน
หัด ให้ลูกโคกินอาหารและหญ้าโดยเร็ว (เมื่อลูกโคอายุได้ประมาณ 1 อาทิตย์) อาหาร ที่เหลือต้องกวาดทิ้งทุกวัน น้ำสะอาดควรมีให้กินตลอดเวลา
ลูกโคต้องตัวแห้งเสมอ วัสดุที่ใช้รองนอนต้องเปลี่ยนทุกวัน
แยกลูกโคที่อายุต่างกันให้อยู่ห่างกัน
ถ่ายพยาธิเมื่อลูกโคอายุ 3 เดือน และถ่ายซ้ำอีกปีละ 1 - 2 ครั้ง หรือตามความเหมาะสม
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแท้งติดต่อ สเตรน 19 ให้แก่ลูกโคเพศเมียเมื่อลูกโคอายุ 3 - 8 เดือน
เมื่อลูกโคหย่านม ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง ดังนี้
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย ต้องฉีดให้ครบ 3 ชนิด (เอ, เอเชียวันและโอ) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน
- ฉีดวัคซีนโรคเฮโมรายิกเซพติซิเมีย (โรคคอบวม) และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน
- ฉีดวัคซีนโรคแอนแทรกซ์ (โรคกาลี) และฉีดซ้ำทุกปี
พ่นหรืออาบยาฆ่าเห็บทุก 15 วัน หรือตามความเหมาะสมเช่น อาจจะอาบหรือพ่นทุก 1 เดือนหรือนานกว่านั้นก็ได้
แม่ โคที่แสดงอาการเบ่งนานเกิน 3 ชั่วโมง แล้วไม่สามารถคลอดลูกได้ หรือแม่ โคที่คลอดลูกแล้วมีรกค้างเกิน 12 ชั่วโมงควรตามสัตวแพทย์
จัดการป้องกันโรคเต้านมอักเสบโดยเคร่งครัดดังนี้
- บริเวณคอกต้องแห้ง ไม่มีที่ชื้นเฉอะแฉะเป็นโคลนตม ไม่มีวัตถุแหลมคมเช่น รั้วลวดหนาม ตะปู
- รีดนมตามลำดับ โดยรีดโคสาวก่อน แล้วรีดโคที่มีอายุมากขึ้น ส่วนโคที่เป็นโรคให้รีดหลังสุด
- ก่อนรีดต้องเช็ดเต้านมด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำคลอรีน ผ้าที่ใช้เช็ดเต้านมควรใช้เฉพาะตัวไม่ปะปนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น